โดยชาวบ้านได้รวมตัวกันยื่นยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง ในความผิด เรื่องละเมิด พรบ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ต่อมาศาลแพ่งได้ให้จำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์และบรรดาเจ้าหนี้คดีแบบกลุ่ม และต่อมาจำเลยได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืน และปัจจุบันศาลฎีกา ได้มีคำพิพากษาไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกา ยกคำร้องขออนุญาตฎีกาไม่รับรับฎีกาของจำเลยและยกคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างฎีกา คดีถึงที่สุดแล้ว และบัดนี้ศาลแพ่งได้มีคำสั่งอนุญาต ให้จ่ายเงินกับโจทก์และสมาชิกกลุ่มได้แล้ว โดยชาวบ้านใช้เวลาในการต่อสู้นานกว่า 20 ปี
กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ในฐานะหน่วยงานซึ่งมีหน้าที่ในการบังคับคดีแพ่งตามคำพิพากษาของศาลได้ดำเนินการบังคับคดีในคดีนี้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลโดยได้ทำการยึดทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาแบ่งเฉลี่ยให้กับบรรดาเจ้าหนี้คดีแบบกลุ่ม ได้เป็นเงินจำนวนประมาณ 22,220,000 บาท และได้ดำเนินการจัดทำบัญชีรับ - จ่าย เงินครั้งที่ 1 ให้แก่ชาวบ้าน ซึ่งเจ้าหนี้ได้รับเงินส่วนแบ่งเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 26 ของยอดหนี้ที่ศาลมีคำพิพากษา
โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวหลังจากมอบเงินในครั้งนี้ว่า ประเทศไทยได้รับแผนธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนเข้ามา มี 4 ข้อสำคัญ คือเรื่องแรงงาน ชุมชน ที่ดิน สิ่งแวดล้อม นักต่อสู้สิทธิมนุษยชน และบริษัทข้ามชาติที่มาลงทุนที่จะไม่ละเมิดสิทธิ ทั้งหมดที่ไทยจะนำมาขับเคลื่อนเพื่อคุ้มครองประชาชนเป็นสำคัญ และอีกเรื่องกระทรวงยุติธรรมมีกองทุนยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี การประกันตัว และช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน
สำหรับคดีดังกล่าวเป็นคดีสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการดำเนินคดีแบบกลุ่ม โดยชาวบ้านได้รับผลกระทบจากของเสียและมลพิษที่เกิดจากบริษัท แวกซ์ กาเบ็จ รีไขเศิล เซ็นเตอร์ จำกัด จำเลยที่ 1 จึงฟ้องคดีเป็นคดีแพ่งของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ สว.3/2563 ระหว่าง นายธนู งามยิ่งยวด ที่ 1 กับพวก รวม 3 คน โจทก์ บริษัท แวกซ์ กาเบ็จรีใซเคิล เซ็นเตอร์ จำกัด ที่ 1 กับพวก รวม 2 คน จำเลย
คดีนี้ศาลแพ่งมีหมายบังคับคดีลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีสำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 1 ดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินของจำเลยเพื่อชำระหนี้ให้กับโจทก์ทั้งสาม และค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ค่าสินไหมทดแทน ค่าเสื่อมสุขภาพ อนามัยและจิตใจ ,ค่าสินไหมทดแทนค่าทรัพย์สินเสียหาย แก่สมาชิกกลุ่มประเภทต่าง ๆ นั้นตามคำพิพากษานั้น เนื่องจากจำเลยทั้งสองมีทรัพย์สินอยู่ในเขตศาลจังหวัดราชบุรี จึงได้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีสำนักงานบังคับคดีจังหวัดราชบุรีดำเนินการยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองแทน โดยโจทก์แถลงขอยึดที่ดินและที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ จำนวน 29 แปลง ราคาประเมินรวม กว่า 66 ล้านบาท ซึ่งขายทอดตลาดได้แล้ว 13 แปลง เป็นเงินกว่า 26 ล้านบาท คงเหลืออยู่ระหว่างประกาศขายทอดตลาดจำนวน 15 แปลง ราคาประเมิน 32,695,780 บาท และยึดสิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติมจำนวน 1 แปลง ราคาประเมิน1,113,300 บาท |